โองการที่ใช้ประกอบพิธี

บทความเรื่อง โองการ

ตั้งศาลแบบไหนจึงแน่ใจว่าพระพรหม,พระภูมิ ท่านเสด็จขึ้นศาลจริงๆ บวงสรวงยังไงจึงจะมั่นใจว่าเทพเทวดาที่เชิญลงมานั้น ท่านลงมาในพิธีจริงๆ ไม่ใช่สักแต่เชิญๆๆ แต่ไม่มีเทวดาลงมาเลย มีแต่สัมภเวสีแถวๆนั้นแหละที่มาจ้องกินของไหว้นานา สวดโองการยังไงให้เทวดาลงมาจริงๆ คำว่าโองการ ,อ่านโองการ – พจนานุกรมแปลไทยราชบัณฑิตยสถาน  อ่านโองการ ประกาศในพิธีพราหมณ์เพื่อสรรเสริญและอัญเชิญเทพเจ้า คำว่า “โองการ” ตัวอย่างเช่น ราชโองการเป็นต้น คำนี้แปลว่าคำศักดิ์สิทธ์ (ตัวอย่างเช่น โองการแช่งน้ำ) เนื่องจากคำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินในลัทธิเทวราชก็ถือเป็นคำศักดิ์เช่นเดียวกัน จึงเรียกคำสั่งของพระองค์ว่า พระราชโองการ แล้วใช้กันมาในภาษาไทยจนถึงทุกวันนี้ โองการนั้นเป็นภาษาบาลีที่ปรับรูปให้ถูกตามหลักพยัญชนะสังโยคเรียบร้อย คือ ง ตามด้วย ก (พยัญชนะวรรค ก) สันสกฤตจะเป็น โอํการ ซึ่งอ่านว่าโอมการ มาจากคำว่า โอม รวมกับคำว่า การ โอม เป็นคำสนธิมาจากคำย่อชื่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ ของศาสนาฮินดู คือ ศิวะ (อะ) วิษณุ (อุ) พรหม (มะ) รวม อะ+อุ+มะ=โอม  ดังนั้นคำว่า โอม จึงเป็นคำศักดิ์ของศาสนาฮินดู การ อ่านว่า กา-ระ ,หมายถึงอักษร ดังนั้น โอมการ จึงหมายถึง อักษรโอม ซึ่งเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ คำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินก็ศักดิ์สิทธิ์จึงถูกเรียกว่าโองการ ในราชวงศ์จีนทุกสมัย เมื่อประกาศคำสั่งก็จะมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรจากฮ่องเต้เรียกว่า มีพระราชโองการ

โองการจึงเป็นคัมภีร์และอักษรที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องนำมาแสดงเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐานสำคัญและอาญาสิทธิ์เด็ดขาด โองการของสายพราหมณ์จะได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษตั้งแต่โบราณกาล โองการของพราหมณ์จึงมีศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรณ คนสมัยนี้ทำพิธีเป็นเจ้าพิธีจำอวดเสียมาก ที่เรียกว่าจำอวดก็คือ ท่องจำคำสวดมา ตอนทำพิธีก็ท่องคำที่จำมาได้ เพื่ออวดคนว่าข้าจำได้ทั้งหมดไม่ต้องดูตำหรับตำรา นี้เรียกว่า เจ้าพิธีจำอวด ท่านจงรู้ไว้เลยว่า ให้ท่องเป็นร้อยจบก็ไม่มีเทวดาหน้าไหนจะลงมา เพราะไม่มีพระโองการวางอยู่ตรงหน้า พราหมณ์ชั้นผู้ใหญ่หรือโหรพราหมณ์ผู้ใหญ่ ท่านจำบทสวดได้ทั้งหมด จำโองการได้ทั้งหมด แต่ยังต้องเอาโองการมากางไว้เบื้องหน้า เพื่อให้เทวดามีความเชื่อถือได้เสด็จจรลีลงมาในปรัมพิธีกันจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ลงพัดปริวควันธูปเปลวเทียนโบกสบัดพัดแต่ควัน แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดลงมาเลยแม้แต่สักองค์เดียว แม้แต่เทพหรือพรหมที่สถิตย์อยู่ในศาลนั้นๆก็ยังไม่โผล่หน้าออกมาดูเลย สมัยนี้เป็นแบบนี้เสีย 90% เลยนะ ต่อให้วางของสวยงามอลังการขนาดไหน ต่อให้เอาพานทองคำมาวางของ ก็จะไม่มีเทวดาหน้าไหนลงมาหรอก ออกชื่อกันไปเถิด มันป่วยการเปล่าเสียเงินเปล่าทำไปก็เท่านั้น ถ่ายรูปกันให้สวยงาม เอาแต่ความสวยงามไม่เอาความถูกต้อง เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั้งหลาย แม่ธรณี เจ้าที่ ตายาย ท่านเลือกความถูกต้อง ท่านไม่ได้เลือกความสวยงาม ท่านไม่ได้เห็นแต่ของไหว้ไม่ใช่อยากกินของไหว้แล้วจึงพากันลงมานะ ฉะนั้นการสวดโองการของพราหมณ์จึงต้องมีคัมภีร์โองการออกมาวางเบื้องหน้า เพื่อประกาศให้แก่เหล่าเทวดา โองการนั้นศักดิ์สิทธิ์กว่าเทวดา เมื่อพราหมณ์ประกาศอ่านโองการ เทวดาทั้งหลายจึงจะเชื่อ จึงจะฟัง และสดับ พร้อมรับคำสดับตามโองการศักดิ์สิทธิ์นั้นแล้วจึงลงมาในมณฑลพิธี ที่ลงมาเพราะได้ยินประกาศโองการ ไม่ใช่ลงลงมาเพื่ออยากกินเครื่องบวงสรวง ไม่ใช่ลงมาเพื่ออยากกินของไหว้ ไม่ใช่ลงมาเพราะเห็นว่าจัดโต๊ะอลังการ มีบายศรีมากมายก่ายกอง อันนั้นมันไร้ประโยฃน์ ถ้าไม่มีโองการศักดิ์สิทธิ์มาประกาศให้เทวดาได้สดับรับรู้ ก็แค่จัดพิธีเพื่อโชว์ความสวยงามและจัดเพื่อความบันเทิงเริงรื่นตามประสามนุษย์แค่นั้นเอง เสร็จแล้วก็ไม่ได้มีผลดีอะไรตามมาเลย